ความรู้พื้นฐานเรื่องการสื่อสาร
การสื่อสารเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต มนุษย์จำเป็นต้องติดต่อสื่อสารกันอยู่ตลอดเวลา การสื่อสารจึงเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งนอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตของมนุษย์ การสื่อสารมีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์มาก การสื่อสารมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในปัจจุบัน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นยุคโลกาภิวัตน์ เป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร การสื่อสารมีประโยชน์ทั้งในแง่บุคคลและสังคม การสื่อสารทำให้คนมีความรู้และโลกทัศน์ที่กว้างขวางขึ้น การสื่อสารเป็นกระบวนการที่ทำให้สังคม เจริญก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้มนุษย์สามารถสืบทอดพัฒนา เรียนรู้ และรับรู้วัฒนธรรมของตนเองและสังคมได้ การสื่อสารเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศ สร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าแก่ชุมชน และสังคมในทุกด้าน
การสื่อสารเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต มนุษย์จำเป็นต้องติดต่อสื่อสารกันอยู่ตลอดเวลา การสื่อสารจึงเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งนอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตของมนุษย์ การสื่อสารมีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์มาก การสื่อสารมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในปัจจุบัน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นยุคโลกาภิวัตน์ เป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร การสื่อสารมีประโยชน์ทั้งในแง่บุคคลและสังคม การสื่อสารทำให้คนมีความรู้และโลกทัศน์ที่กว้างขวางขึ้น การสื่อสารเป็นกระบวนการที่ทำให้สังคม เจริญก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้มนุษย์สามารถสืบทอดพัฒนา เรียนรู้ และรับรู้วัฒนธรรมของตนเองและสังคมได้ การสื่อสารเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศ สร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าแก่ชุมชน และสังคมในทุกด้าน
ความหมายของการสื่อสาร
คำว่า การสื่อสาร (communications) มีที่มาจากรากศัพท์ภาษาลาตินว่า communis หมายถึง ความเหมือนกันหรือร่วมกัน การสื่อสาร (communication) หมายถึงกระบวนการถ่ายทอดข่าวสาร ข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์ ความรู้สึก ความคิดเห็น ความต้องการจากผู้ส่งสารโดยผ่านสื่อต่าง ๆ ที่อาจเป็นการพูด การเขียน สัญลักษณ์อื่นใด การแสดงหรือการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ไปยังผู้รับสาร ซึ่งอาจจะใช้กระบวนการสื่อสารที่แตกต่างกันไปตามความเหมาะสม หรือความจำเป็นของตนเองและคู่สื่อสาร โดยมีวัตถุประสงค์ให้เกิดการรับรู้ร่วมกันและมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อกัน บริบททางการสื่อสารที่เหมาะสมเป็น ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การสื่อสารสัมฤทธิ์ผล
คำว่า การสื่อสาร (communications) มีที่มาจากรากศัพท์ภาษาลาตินว่า communis หมายถึง ความเหมือนกันหรือร่วมกัน การสื่อสาร (communication) หมายถึงกระบวนการถ่ายทอดข่าวสาร ข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์ ความรู้สึก ความคิดเห็น ความต้องการจากผู้ส่งสารโดยผ่านสื่อต่าง ๆ ที่อาจเป็นการพูด การเขียน สัญลักษณ์อื่นใด การแสดงหรือการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ไปยังผู้รับสาร ซึ่งอาจจะใช้กระบวนการสื่อสารที่แตกต่างกันไปตามความเหมาะสม หรือความจำเป็นของตนเองและคู่สื่อสาร โดยมีวัตถุประสงค์ให้เกิดการรับรู้ร่วมกันและมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อกัน บริบททางการสื่อสารที่เหมาะสมเป็น ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การสื่อสารสัมฤทธิ์ผล
องค์ประกอบของการสื่อสาร
องค์ประกอบที่สำคัญของการสื่อสาร
มี 4 ประการ
ดังนี้
1. ผู้ส่งสาร (sender) หรือ แหล่งสาร (source) หมายถึง บุคคล กลุ่มบุคคล หรือ หน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการส่งสาร หรือเป็นแหล่งกำเนิดสาร ที่เป็นผู้เริ่มต้นส่งสารด้วยการแปลสารนั้นให้อยู่ในรูปของสัญลักษณ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นแทนความคิด ได้แก่ ภาษาและอากัปกิริยาต่าง ๆ เพื่อสื่อสารความคิด ความรู้สึก ข่าวสาร ความต้องการและวัตถุประสงค์ของตนไปยังผู้รับสารด้วยวิธีการใด ๆ หรือส่งผ่านช่องทางใดก็ตาม จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เช่น ผู้พูด ผู้เขียน กวี ศิลปิน นักจัดรายการวิทยุ โฆษกรัฐบาล องค์การ สถาบัน สถานีวิทยุกระจายเสียง สถานีวิทยุโทรทัศน์ กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ หน่วยงานของรัฐ บริษัท สถาบันสื่อมวลชน เป็นต้น
คุณสมบัติของผู้ส่งสาร
1. เป็นผู้ที่มีเจตนาแน่ชัดที่จะให้ผู้อื่นรับรู้จุดประสงค์ของตนในการส่งสาร แสดงความคิดเห็น หรือวิจารณ์
2. เป็นผู้ที่มีความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาของสารที่ต้องการจะสื่อออกไปเป็นอย่างดี
3. เป็นผู้ที่มีบุคลิกลักษณะที่ดี มีความน่าเชื่อถือ แคล่วคล่องเปิดเผยจริงใจ และมีความรับผิดชอบใน ฐานะเป็นผู้ส่งสาร
4. เป็นผู้ที่สามารถเข้าใจความพร้อมและความสามารถในการรับสารของผู้รับสาร
5. เป็นผู้รู้จักเลือกใช้กลวิธีที่เหมาะสมในการส่งสารหรือนำเสนอสาร
2. สาร (message) หมายถึง เรื่องราวที่มีความหมาย หรือสิ่งต่าง ๆ ที่อาจอยู่ในรูปของข้อมูล ความรู้ ความคิด ความต้องการ อารมณ์ ฯลฯ ซึ่งถ่ายทอดจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสารให้ได้รับรู้ และแสดงออกมาโดยอาศัยภาษาหรือสัญลักษณ์ใด ๆ ที่สามารถทำให้เกิดการรับรู้ร่วมกันได้ เช่น ข้อความที่พูด ข้อความที่เขียน บทเพลงที่ร้อง รูปที่วาด เรื่องราวที่อ่าน ท่าทางที่สื่อความหมาย เป็นต้น
2.1 รหัสสาร (message code)ได้แก่ ภาษา สัญลักษณ์ หรือสัญญาณที่มนุษย์ใช้เพื่อแสดงออกแทนความรู้ ความคิด อารมณ์ หรือความรู้สึกต่าง ๆ
2.2 เนื้อหาของสาร (message content) หมายถึง บรรดาความรู้ ความคิดและประสบการณ์ที่ผู้ส่งสารต้องการจะถ่ายทอดเพื่อการรับรู้ร่วมกัน แลกเปลี่ยนเพื่อความเข้าใจร่วมกันหรือโต้ตอบกัน
2.3 การจัดสาร (message treatment) หมายถึง การรวบรวมเนื้อหาของสาร แล้วนำมาเรียบเรียงให้เป็นไปอย่างมีระบบ เพื่อให้ได้ใจความตามเนื้อหา ที่ต้องการด้วยการเลือก ใช้รหัสสารที่เหมาะสม
3. สื่อ หรือช่องทาง (media or channel) เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอีกประการหนึ่งในการสื่อสาร หมายถึง สิ่งที่เป็นพาหนะของสาร ทำหน้าที่นำสารจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร ผู้ส่งสารต้องอาศัยสื่อหรือช่องทางทำหน้าที่นำสารไปสู่ผู้รับสาร
4. ผู้รับสาร (receiver) หมายถึง บุคคล กลุ่มบุคคล หรือมวลชนที่รับเรื่องราวข่าวสารจากผู้ส่งสาร และแสดงปฏิกิริยาตอบกลับ (Feedback) ต่อผู้ส่งสาร หรือส่งสารต่อไปถึงผู้รับสารคนอื่น ๆ ตามจุดมุ่งหมายของผู้ส่งสาร เช่น ผู้เข้าร่วมประชุม ผู้ฟังรายการวิทยุ กลุ่มผู้ฟังการอภิปราย ผู้อ่านบทความจากหนังสือพิมพ์ เป็นต้น
1. ผู้ส่งสาร (sender) หรือ แหล่งสาร (source) หมายถึง บุคคล กลุ่มบุคคล หรือ หน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการส่งสาร หรือเป็นแหล่งกำเนิดสาร ที่เป็นผู้เริ่มต้นส่งสารด้วยการแปลสารนั้นให้อยู่ในรูปของสัญลักษณ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นแทนความคิด ได้แก่ ภาษาและอากัปกิริยาต่าง ๆ เพื่อสื่อสารความคิด ความรู้สึก ข่าวสาร ความต้องการและวัตถุประสงค์ของตนไปยังผู้รับสารด้วยวิธีการใด ๆ หรือส่งผ่านช่องทางใดก็ตาม จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เช่น ผู้พูด ผู้เขียน กวี ศิลปิน นักจัดรายการวิทยุ โฆษกรัฐบาล องค์การ สถาบัน สถานีวิทยุกระจายเสียง สถานีวิทยุโทรทัศน์ กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ หน่วยงานของรัฐ บริษัท สถาบันสื่อมวลชน เป็นต้น
คุณสมบัติของผู้ส่งสาร
1. เป็นผู้ที่มีเจตนาแน่ชัดที่จะให้ผู้อื่นรับรู้จุดประสงค์ของตนในการส่งสาร แสดงความคิดเห็น หรือวิจารณ์
2. เป็นผู้ที่มีความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาของสารที่ต้องการจะสื่อออกไปเป็นอย่างดี
3. เป็นผู้ที่มีบุคลิกลักษณะที่ดี มีความน่าเชื่อถือ แคล่วคล่องเปิดเผยจริงใจ และมีความรับผิดชอบใน ฐานะเป็นผู้ส่งสาร
4. เป็นผู้ที่สามารถเข้าใจความพร้อมและความสามารถในการรับสารของผู้รับสาร
5. เป็นผู้รู้จักเลือกใช้กลวิธีที่เหมาะสมในการส่งสารหรือนำเสนอสาร
2. สาร (message) หมายถึง เรื่องราวที่มีความหมาย หรือสิ่งต่าง ๆ ที่อาจอยู่ในรูปของข้อมูล ความรู้ ความคิด ความต้องการ อารมณ์ ฯลฯ ซึ่งถ่ายทอดจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสารให้ได้รับรู้ และแสดงออกมาโดยอาศัยภาษาหรือสัญลักษณ์ใด ๆ ที่สามารถทำให้เกิดการรับรู้ร่วมกันได้ เช่น ข้อความที่พูด ข้อความที่เขียน บทเพลงที่ร้อง รูปที่วาด เรื่องราวที่อ่าน ท่าทางที่สื่อความหมาย เป็นต้น
2.1 รหัสสาร (message code)ได้แก่ ภาษา สัญลักษณ์ หรือสัญญาณที่มนุษย์ใช้เพื่อแสดงออกแทนความรู้ ความคิด อารมณ์ หรือความรู้สึกต่าง ๆ
2.2 เนื้อหาของสาร (message content) หมายถึง บรรดาความรู้ ความคิดและประสบการณ์ที่ผู้ส่งสารต้องการจะถ่ายทอดเพื่อการรับรู้ร่วมกัน แลกเปลี่ยนเพื่อความเข้าใจร่วมกันหรือโต้ตอบกัน
2.3 การจัดสาร (message treatment) หมายถึง การรวบรวมเนื้อหาของสาร แล้วนำมาเรียบเรียงให้เป็นไปอย่างมีระบบ เพื่อให้ได้ใจความตามเนื้อหา ที่ต้องการด้วยการเลือก ใช้รหัสสารที่เหมาะสม
3. สื่อ หรือช่องทาง (media or channel) เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอีกประการหนึ่งในการสื่อสาร หมายถึง สิ่งที่เป็นพาหนะของสาร ทำหน้าที่นำสารจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร ผู้ส่งสารต้องอาศัยสื่อหรือช่องทางทำหน้าที่นำสารไปสู่ผู้รับสาร
4. ผู้รับสาร (receiver) หมายถึง บุคคล กลุ่มบุคคล หรือมวลชนที่รับเรื่องราวข่าวสารจากผู้ส่งสาร และแสดงปฏิกิริยาตอบกลับ (Feedback) ต่อผู้ส่งสาร หรือส่งสารต่อไปถึงผู้รับสารคนอื่น ๆ ตามจุดมุ่งหมายของผู้ส่งสาร เช่น ผู้เข้าร่วมประชุม ผู้ฟังรายการวิทยุ กลุ่มผู้ฟังการอภิปราย ผู้อ่านบทความจากหนังสือพิมพ์ เป็นต้น
ภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร
ภาษา คือ สัญลักษณ์ที่กำหนดขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการสื่อความเข้าใจระหว่างกันของคนในสังคม ช่วยสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน ช่วยสร้างความสัมพันธ์ของคน
ในสังคม ถ้าคนในสังคมพูดกันด้วย ถ้อยคำที่ดีจะช่วยให้คนในสังคมอยู่กันอย่างปกติสุข
ถ้าพูดกันด้วยถ้อยคำไม่ดี จะทำให้เกิดความบาดหมางน้ำใจกัน
ภาษาจึงมีส่วนช่วยสร้างมนุษยสัมพันธ์ ของคนในสังคม
ภาษาเป็นสมบัติของสังคม ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารมี
2 ประเภท คือ วัจนภาษาและอวัจนภาษา
1. วัจนภาษา (verbal language)
วัจนภาษา หมายถึง ภาษาถ้อยคำ ได้แก่ คำพูดหรือตัวอักษรที่กำหนดใช้ร่วมกันในสังคม ซึ่งหมายรวมทั้งเสียง และลายลักษณ์อักษร ภาษาถ้อยคำเป็นภาษาที่มนุษย์สร้างขึ้นอย่างมีระบบ มีหลักเกณฑ์ทางภาษา หรือไวยากรณ์ซึ่งคนในสังคมต้องเรียนรู้และใช้ภาษาในการฟัง พูด อ่าน เขียนและคิด การใช้วัจนภาษาใน การสื่อสารต้องคำนึงถึงความชัดเจนถูกต้องตามหลักภาษา และความเหมาะสมกับลักษณะ การสื่อสาร ลักษณะงาน เป้าหมาย สื่อและผู้รับสาร วัจนภาษาแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ 1. ภาษาพูด ภาษาพูดเป็นภาษาที่มนุษย์เปล่งเสียงออกมาเป็นถ้อยคำเพื่อสื่อสารกับผู้อื่น นักภาษาศาสตร์ถือว่าภาษาพูดเป็นภาษาที่แท้จริงของมนุษย์ ส่วนภาษาเขียนเป็นเพียงวิวัฒนาการขั้นหนึ่งของภาษาเท่านั้น มนุษย์ได้ใช้ภาษาพูดติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นอยู่เสมอ ทั้งในเรื่องส่วนตัว สังคม และหน้าที่การงาน ภาษาพูดจึงสามารถสร้างความรัก ความเข้าใจ และช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในสังคมมนุษย์ได้มากมาย
2. ภาษาเขียน ภาษาเขียนเป็นภาษาที่มนุษย์ใช้อักษรเป็นเครื่องหมายแทนเสียงพูดในการสื่อสาร ภาษาเขียนเป็นสัญลักษณ์ของการพูด ภาษาเขียนนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อใช้บันทึกภาษาพูด เป็นตัวแทนของภาษาพูดในโอกาสต่าง ๆ แม้นักภาษาศาสตร์จะถือว่าภาษาเขียนมิใช่ภาษาที่แท้จริงของมนุษย์ แต่ภาษาเขียนเป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารของมนุษย์ มาเป็นเวลาช้านาน มนุษย์ใช้ภาษาเขียนสื่อสารทั้งในส่วนตัว สังคม และหน้าที่การงาน ภาษาเขียนสร้างความรัก ความเข้าใจ และช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ในสังคมมนุษย์ได้มากมายหากมนุษย์รู้จักเลือกใช้ให้เหมาะสมกับบุคคล โอกาส และสถานการณ์
วัจนภาษา หมายถึง ภาษาถ้อยคำ ได้แก่ คำพูดหรือตัวอักษรที่กำหนดใช้ร่วมกันในสังคม ซึ่งหมายรวมทั้งเสียง และลายลักษณ์อักษร ภาษาถ้อยคำเป็นภาษาที่มนุษย์สร้างขึ้นอย่างมีระบบ มีหลักเกณฑ์ทางภาษา หรือไวยากรณ์ซึ่งคนในสังคมต้องเรียนรู้และใช้ภาษาในการฟัง พูด อ่าน เขียนและคิด การใช้วัจนภาษาใน การสื่อสารต้องคำนึงถึงความชัดเจนถูกต้องตามหลักภาษา และความเหมาะสมกับลักษณะ การสื่อสาร ลักษณะงาน เป้าหมาย สื่อและผู้รับสาร วัจนภาษาแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ 1. ภาษาพูด ภาษาพูดเป็นภาษาที่มนุษย์เปล่งเสียงออกมาเป็นถ้อยคำเพื่อสื่อสารกับผู้อื่น นักภาษาศาสตร์ถือว่าภาษาพูดเป็นภาษาที่แท้จริงของมนุษย์ ส่วนภาษาเขียนเป็นเพียงวิวัฒนาการขั้นหนึ่งของภาษาเท่านั้น มนุษย์ได้ใช้ภาษาพูดติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นอยู่เสมอ ทั้งในเรื่องส่วนตัว สังคม และหน้าที่การงาน ภาษาพูดจึงสามารถสร้างความรัก ความเข้าใจ และช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในสังคมมนุษย์ได้มากมาย
2. ภาษาเขียน ภาษาเขียนเป็นภาษาที่มนุษย์ใช้อักษรเป็นเครื่องหมายแทนเสียงพูดในการสื่อสาร ภาษาเขียนเป็นสัญลักษณ์ของการพูด ภาษาเขียนนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อใช้บันทึกภาษาพูด เป็นตัวแทนของภาษาพูดในโอกาสต่าง ๆ แม้นักภาษาศาสตร์จะถือว่าภาษาเขียนมิใช่ภาษาที่แท้จริงของมนุษย์ แต่ภาษาเขียนเป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารของมนุษย์ มาเป็นเวลาช้านาน มนุษย์ใช้ภาษาเขียนสื่อสารทั้งในส่วนตัว สังคม และหน้าที่การงาน ภาษาเขียนสร้างความรัก ความเข้าใจ และช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ในสังคมมนุษย์ได้มากมายหากมนุษย์รู้จักเลือกใช้ให้เหมาะสมกับบุคคล โอกาส และสถานการณ์
วิธีแก้ไขอุปสรรคของการสื่อสาร
ได้กล่าวมาแล้วว่า
ถ้าเราเข้าใจถึงอุปสรรคของการสื่อสารแล้ว
เราก็มีหนทางที่จะแก้ไขอุปสรรคให้หมดไปได้ ทั้งนี้เราต้องใช้ไหวพริบ มีความพยายาม
ตั้งใจจริงและอาศัยบุคคลอื่นให้ช่วยวิเคราะห์แนะนำ
การแก้ไขอุปสรรคจึงจะสำเร็จลุล่วงด้วยดี
ต่อไปนี้จะชี้ให้เห็นแนวทางกว้างๆ
ในการแก้ไขอุปสรรคของการสื่อสาร ซึ่งเกิด ณ องค์ประกอบส่วนต่างๆ ของการสื่อสาร
๑. ผู้รับ-ผู้ส่งสาร เมื่อผู้รับสารและผู้ส่งสารสังเกตเห็นว่า การสื่อสารไม่อาจดำเนินไปได้โดยราบรื่น
แทนที่จะรู้สึกหงุดหงิด ขุ่นเคือง รำคาญใจ เสียใจ และสงบจิตใจ ทำใจให้เป็นกลาง
และไม่ควรหวั่นไหวไปกับความสับสนที่เกิดขึ้นกับการสื่อสารนั้นๆ ค่อยๆ
พิจารณาดูว่าตนเองด่วนสรุปหรือไม่
ตนเองขาดพื้นความรู้ ขาดประสบการณ์มาก่อนหรือไม่อย่างไร
ตนเองใจร้อนใจเร็วเกินไปหรือไม่ ตนคาดหวังสูงไป
คิดว่าบุคคลที่ตนสื่อสารด้วยจะเข้าใจเหมือนกับตนหรือไม่
การรู้จักพิจารณาตนเองเช่นที่กล่าวมานี้จะช่วยควบคุมไม่ให้เกิดความรู้สึกหวั่นไหวไปกับความสับสนที่เกิดขึ้นกับการสื่อสาร
ที่กล่าวมานี้เป็นการสื่อสารระหว่างบุคคล
แต่ถ้าเป็นการสื่อสารทางเดียวไม่ว่าจะเป็นการอ่าน
การฟัง หรือการดูก็ตาม หากผู้รับสารเกิดความสงสัย
เข้าใจสับสนงุนงงไม่ควรด่วนสรุปว่า ตัวสารหรือผู้ส่งสารเป็นต้นเหตุของความรู้สึกดังกล่าว
อุปสรรคของการสื่อสารอาจเกิดขึ้นที่ตัวเราเองก็ได้ เช่น
ตนเองอาจขาดความพร้อมที่จะรับสาร ไม่เคยสนใจเรื่องนั้นมาก่อน
มีพื้นความรู้ในเรื่องนั้นไม่พอ หรือบางทีอาจมีอคติต่อผู้ส่งสาร
เป็นต้น ความเข้าใจเช่นนี้มีประโยชน์
เพราะจะช่วยทำให้เกิดการพัฒนาปรับปรุงตนเองให้มีความพร้อมยิ่งขึ้น
ไม่ก่อให้เกิดความขุ่นข้องหมองใจแก่ทุกฝ่าย อุปสรรคของ การสื่อสารก็จะหมดไปในที่สุด
เมื่อเป็นผู้ส่งสาร
หากสารของตนไม่สามารถบรรลุผลตามที่มุ่งหมาย เช่น ไม่ทำให้ผู้รับเข้าใจ เห็นจริง ยอมรับเหตุผล ยอมเปลี่ยนพฤติกรรม
ก็ไม่ควรด่วนสรุปว่า เป็นความบกพร่องของฝ่ายผู้รับสาร
ควรพิจารณาว่าตนเองอาจส่งสารไปผิดกาลเทศะ สารอาจซับซ้อนเกินไป หรือแม้แต่ง่ายเกินไปก็ได้
การพิจารณาเช่นนี้จะช่วยให้คิดปรับปรุงตนเองในฐานะที่เป็นผู้ส่งสาร
และช่วยป้องกันแก้ไขอุปสรรคของการสื่อสารให้ลดน้อยลงหรือหมดไปได้เช่นกัน
๒. ตัวสาร เราควรเข้าใจว่า สารเรื่องเดียวกัน
อาจนำเสนอได้หลายวิธี การนำเสนอด้วยวิธีหนึ่งอาจเข้าใจยาก สำหรับบุคคลกลุ่มหนึ่ง
อาจเข้าใจง่ายสำหรับบุคคลอีกกลุ่มหนึ่ง
เราจึงต้องเลือกวิธีนำเสนอสารให้เกิดอุปสรรคในการสื่อสารน้อยที่สุดหรือไม่เกิดขึ้นเลย
เช่น การชวนเพื่อนร่วมงานไปเที่ยววันหยุดสุดสัปดาห์
ควรบอกด้วยวาจาจะได้ผลดีกว่าเขียนบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะถ้านำเสนอเป็นลายลักษณ์อักษร
ผู้รับอาจเกิดปฏิกิริยาต่อต้านหรือเคลือบแคลงใจว่า
เจตนาแท้จริงของผู้นำเสนอเป็นอย่างไร
แต่ถ้าฝากเพื่อนที่เดินทางไปต่างประเทศให้ช่วยซื้อกล้องถ่ายรูป
ควรจดลายละเอียดให้ชัดเจน เพราะการบอกด้วยวาจาอาจขาดรายละเอียดที่สำคัญไป
หรือผู้รับฝากอาจหลงลืมได้
อนึ่ง สารบางอย่างต้องนำเสนอทั้งการพูดและการเขียน
เพื่อเสริมซึ่งกันและกันจึงจะสัมฤทธิผลสมความมุ่งหมาย
๓. ภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร
ผู้ใช้ภาษาจำเป็นต้องระมัดระวัง
เลือกใช้ถ้อยคำให้สื่อ ความชัดเจนเป็นที่เข้าใจแก่ผู้รับสาร ไม่ควรใช้คำพูดกำกวม ไม่ควรใช้คำยากหรือคำศัพท์ถ้าไม่จำเป็น
ประโยคที่ยืดยาวเกินไป มักจะยากแก่การเข้าใจ
ถ้าเป็นการเขียนยิ่งต้องระมัดระวังมากกว่าการพูด เพราะผู้อ่านไม่อาจสอบถามทำความเข้าใจได้โดยทันที
อาจต้องใช้วิธีคาดเดาหรือตีความเอาเอง โอกาส ที่ผู้อ่านจะเข้าใจผิดพลาดจึงมีได้มาก
พึงระลึกอยู่เสมอว่าภาษาเป็นเครื่องมือสำหรับการสื่อสารเป็นปัจจัย
ที่ก่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันจึงน่าจะระมัดระวังไม่ให้กลายเป็นอุปสรรคของการสื่อสาร
จุดมุ่งหมายสำคัญในการเรียนวิชาหลักภาษาและการใช้ภาษา
ก็เพื่อให้รู้จักใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร
ส่วนการเรียนวิชาวรรณคดีนั่นจุดมุ่งหมายสำคัญคือ
เพื่อให้เข้าใจภาษาที่กวีหรือนักประพันธ์ใช้ในการสื่อความคิดและจินตนาการมายังผู้อ่าน
มิได้มุ่งให้ภาษาเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดของกวี
๔. สื่อ สื่อที่เป็นอุปสรรคแก่การสื่อสารนั้น
บางอย่างก็ไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะแก้ไขได้ เช่น โทรศัพท์ เครื่องรับวิทยุกระจายเสียง
หรือเครื่องรับวิทยุโทรทัศน์เกิดขัดข้อง และเมื่อไฟฟ้าดับ
สื่อหลายชนิดก็ไม่สามรถใช้การได้
อย่างไรก็ดี
สื่อหลายชนิดอยู่ในวิสัยที่เราจะแก้ไขไม่ให้เกิดอุปสรรคได้ เช่น ถ้าเราพิจารณาเห็นว่า ห้องประชุมหรือสถานที่ที่เราจะใช้พูดจาทำความเข้าใจกัน
หรือเสียงอื้ออึงอากาศอบอ้าวและไม่อำนวยความสะดวกเท่าที่ควร
เราก็หาสถานที่ใหม่ ถ้าไม่ได้จริงๆ อาจเลื่อนการประชุมหรือกิจกรรมการพูดนั้นไปก่อน
หรือในการใช้แผ่นใสปรากฏว่าภาพที่จอไม่ชัดเจน ผู้ที่นั่งอยู่ใกล้มองเห็น
แต่ผู้ที่นั่งอยู่ไกลมองไม่เห็น
การสื่อสารนั้นย่อมเกิดอุปสรรคก็ควรหลีกเลี่ยงไปใช้สื่ออย่างอื่น เช่น
แจกเอกสารประกอบน่าจะดีกว่า ในกรณีที่ใช้บุคคลให้ไปทำกิจใดๆ ให้
ถ้าบุคคลผู้นั้นขาดสมรรถภาพในการฟังการพูด รับสารจากผู้ส่งสารได้ไม่ครบถ้วน
รายงานให้แก่ผู้รับสารได้ไม่ชัดเจน อุปสรรคการสื่อสารก็ต้องเกิดขึ้น
ฉะนั้นแทนที่จะบอกด้วยวาจา ควรเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรให้นำไปจะเหมาะสมกว่า
๕. กาลเทศะและสภาพแวดล้อม ในการสื่อสาร ถ้าใช้เวลามากเกินไปก็กลายเป็นอุปสรรค
ไม่ทำให้เกิดความเข้าใจที่ดีต่อกันได้ แต่ถ้าใช้เวลาน้อย ก็ควรจะรวบรัดเพราะอาจไม่เกิดความเข้าใจที่ดีได้เช่นกัน
จึงต้องประมาณเวลาให้พอเหมาะ นอกจากนี้ยังจะต้องเลือกเวลาที่เหมาะสมด้วย
เช่น เมื่อเราพบกับผู้ที่เราจะสื่อสารด้วยในโอกาสแรก
ก็ไม่ควรนำเรื่องทีเป็นข่าวร้ายมาแจ้งให้ทราบโดยทันที
ควรทิ้งระยะหรือนำเรื่องอื่นขึ้นพูดก่อน ใช้ไหวพริบประมาณดูว่าถึงโอกาสเหมาะแล้ว
จึงค่อยแจ้งข่าวร้ายนั้นให้ทราบ การขอร้อง
การชักชวน ในกิจต่างๆ ก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน
หากเริ่มผิดเวลา ผิดกาละ
ก็จะเกิดอุปสรรคของการสื่อสารได้เช่นกัน นอกจากนี้ควรคำนึงถึงสถานที่ด้วยอย่าให้กลายเป็นอุปสรรค เช่น เมื่ออยู่ต่อหน้าบุคคลอื่น
เรื่องบางเรื่องไม่ควรพูด แต่อยู่เฉพาะสองต่อสอง เรื่องนั้นอาจนำมาพูดได้โดยสะดวกใจ
ไม่เกิดอุปสรรคในการสื่อสาร
ให้นักเรียนวิเคราะห์สถานการณ์ที่กำหนดให้
และแก้ไขอุปสรรคในการสื่อสารต่อไปนี้
สถานการณ์
|
อุปสรรคของการสื่อสาร
|
วิธีแก้ไข
|
๑. ลุงแช่มไม่สบายจึงไปพบหมอที่โรงพยาบาลของจังหวัดหมอสั่งลุงแช่มว่า
พรุ่งนี้ให้มาพบหมออีกครั้งเพื่อตรวจเลือด
หมอสั่งห้ามลุงแช่มกินอาหารหรือดื่มน้ำหลังเที่ยงคืนไปแล้ว
ตอนเช้าไม่ต้องกินข้าวบ้าน ให้มาพบหมอเพื่อจะเจาะเลือดเลย
วันรุ่งขึ้น ลุงแช่มไปหาหมอ หมอถามว่า “ลุงกินข้าวมารึป่าว” ลุงแช่มตอบหมอว่า “ผมไม่กินข้าวบ้านมากินที่โรงหมอ แหม! หมดไปหลายเงิน”
|
|
|
๒.
ในการรายงานเรื่อง “การเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญใหม่” นักเรียนที่ออกมารายงานเสนอข้อมูลไม่สู้ตรงกันนัก
บางคนเสนอรายละเอียดที่ขัดกันก็มี ทำให้ยากที่จะตัดสินใจได้ว่า
สิ่งที่ถูกต้องคืออะไร
|
|
|
๓.
สงกรานต์เขียนประกาศเพื่อขายบ้านเนื่องจากจะต้องย้ายครอบครัวไปอยู่ต่างประเทศ
ข้อความมีว่าขายเทาว์เฮ้าส์ ราคาถูก ติดถนนใหญ่สนใจติดต่อด่วน”
|
|
|
๔.
นักเรียนกลุ่มหนึ่งต้องเป็นตัวแทนของโรงเรียนไปร่วมสัมมนา “โครงการโรงเรียนสีขาว”
ในช่วงเวลาที่นักเรียนกำลังจะสอบปลายภาค
|
|
|
๕.
พิจารณาข้อความสำนวนไทยต่อไปนี้
๑) บริษัทของท่านส่งผ้าขาด
๒)
หลานคุณพูดคุยโทรศัพท์กับคุณย่าโดยผ่านทางโทรศัพท์ที่มีความขัดข้องทางเทคนิค
๓) น้ำท่วมทุ่ง
ผักบุ้งโหรงเหรง
๔) ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด
๕) ติเรือทั้งโกลน
|
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น